วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

ดูดไขมัน | สำรวจความเหมาะสมกับการดูดไขมัน

        การดูดไขมันออกจากร่างกายในปัจจุบันไม่ไช่เรื่องยาก แต่คุณจะต้องเป็นผู้มีความพร้อมด้านร่างกาย และได้รับการ พิจารณาจากแพทย์แล้วว่ามีความเหมาะสมที่จะสามารถเข้ารับการดูดไขมันได้นั้นเอง

ข้อควรพิจารณาก่อนทำการดูดไขมัน มีดังนี้
  • ร่างกายมีการสะสมของไขมันเป็นบางบริเวณ เช่น ต้นขา สะโพก หน้าท้อง เป็นต้น 
  • เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับการผ่าตัดบริเวณที่ต้องการดูดไขมัน 
  • ต้องมีสภาพผิวหนังที่ดี มีความยืดหยุ่นเพียงพอ ไม่เหี่ยวย่นเกินไป 
  • ผู้ที่เข้ารับการดูดไขมันควรทราบก่อนว่าวิธีนี้ไม่ได้มีผลต่อน้ำหนักโดยตรง ซึ่งในบางรายอาจพบว่าน้ำหนักไม่เปลี่ยนแปลงมากตามที่ต้องการ 
  • การสลายหรือดูดไขมันเป็นวิธีที่การลดไขมันเฉพาะจุดเท่านั้น ไม่ใช่การลดน้ำหนัก 
  • ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดขาตีบ 
  • มีสภาวะทางอารมณ์ที่ดี ไม่แปรปรวน 
  • ต้องเป็นผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 
  • ต้องยอมรับข้อจำกัดของการดูดไขมันได้ 
  • เป็นผู้ที่ไม่คาดหวังผลที่จะได้รับในทางที่ดีมากจนเกินไป เพราะทุกอย่างสามารถเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ หรืออาจไม่เป็นไปตามที่คาด หวังได้เช่นกัน

ประเภทของฟีโรโมน (Pheromone)

    ฟีโรโมน (Pheromone) คือสารประเภทหนึ่งซึ่งถูกสร้างออกมาเพื่อกระตุ้นให้อีกเพศหนึ่งเกิดอารมณ์รักใคร่ หลงใหล และติดตาม โดยฟีโรโมนถูกแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
    1. Releaser Pheromone
เป็นฟีโรโมนที่มีผลโดยตรงต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้พฤติกรรมต่างๆ เปลี่ยนไป เช่น
    • สารที่มีผลดึงดูดเพศตรงข้าม
    • สารที่ใช้เตือนภัย
    • ฟีโรโมนนำทาง
    • ในผีเสื้อกลางคืนบางชนิด พบว่าตัวเมียสามารถหลั่งสารดึงดูดเพศตรงข้ามจากต่อมบริเวณท้อง ถ้านำสารนี้ไปป้ายที่วัตถุใดๆ ตัวผู้ก็จะวนเวียนอยู่รอบวัตถุนั้น และแสดงท่าต้องการผสมพันธุ์ ส่วนมดนั้นจะปล่อยฟีโรโมนนำทางออกมา และทำให้มดตัวอื่นๆ เดินตามได้ถูกต้อง
    2. Primer Pheromone
มีผลต่อสรีระภายใน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระของร่างกาย เช่น
    • ฟีโรโมนของราชินีผึ้ง ที่จะทำให้ผึ้งเป็นหมัน 
    • ฟีโรโมนของหนูตัวผู้ ที่จะทำให้หนูตัวเมียแท้งลูก
    3. Imprinting Pheromone
มีผลต่อการฝังใจในช่วงวิกฤต เช่น แมลงสาบระยะตัวอ่อนหากได้รับฟีโรโมนจากตัวผู้ที่โตเต็มวัย จะทำให้เกิดการเจริญเติบโตแบบจำเพาะในการผสมพันธุ์   

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

สิวอาจบอกโรคต่างๆ ภายในร่างกายได้

    การเกิดสิวนั้น อาจไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความสกปรกของใบหน้าเพียงอย่างเดียว แต่อาจมีสาเหตุเกี่ยวพันไปถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆ  ได้ วันนี้เรามีตำแหน่งของการเกิดสิวที่บอกถึงโรคต่างๆ รวมทั้งสาเหตุของการเกิดมาฝากเพื่อจะได้แก้ไขได้ทัน หากใครที่เป็นสิวเรื้อรังบริเวณเดิมๆ ก็ลองตรวจสอบดูว่ามีปัญหาภายในอะไรหรือเปล่า
    บริเวณหน้าผาก – อาจเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ และต่อมหมวกไต มีสาเหตุจากการมีความเครียดสูง หรือการล้างเครื่องสำอางค์ไม่สะอาดก็เป็นได้
    บริเวณหน้าผากระหว่างคิ้ว – อาจเกิดจากระบบการทำงานของตับ มีสาเหตุมาจากการทานอาหารรสจัด และทานอาหารดึกเกินไป รวมถึงรับประทานอาหารจำพวกแลกโตส ซึ่งอยู่ในนมวัวหรืออาหารที่มีส่วนผสมของนมวัว
    บริเวณหูทั้งสองข้าง – อาจเกิดจากปัญหาเรื่องการทำงานของไต และอุณหภูมิในร่างกายที่สูงเกินไป มีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม กาแฟหรือการกินเนื้อสัตว์มากเกินไป
    บริเวณแก้มทั้งสองข้าง – อาจเกี่ยวข้องกับระบบทาเดินหายใจ ไซนัสและปอด มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่จัด หรือการเลือกใช้รองพื้นที่ไม่เหมาะสม
    บริเวณรองดวงตาซ้ายและขวา – อาจเกิดจากความผิดปกติของไต ปัญหาเรื่องโรคภูมิแพ้ มีสาเหตุมาจากการมีสารเคมีตกค้างในร่างกายมากเกินไป หรือการเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว
    บริเวณจมูกและริมฝีปาก – อาจเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจ ซึ่งหากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูกอาจส่งผลมาจากระดับความดันเลือดสูงผิดปกติ
    บริเวณด้านข้างของคางหรือช่วงกราม – อาจเกิดจากปัญหาเรื่องของระบบฟัน มีสาเหตุจากการขาดวิตามิน หรือเกิดหลังจากการทำฟัน หรืออยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยนฮอร์โมน
    บริเวณปลายคาง – อาจมีผลมาจากระบบลำไส้เล็กและระบบการย่อยของกระเพาะอาหาร มีสาเหตุมาจากการเลือกทานอาหารที่มีรสจัดจนลำไส้เป็นแผล และปัญหาการดูดซึมอาหารของกระเพาะอาหาร

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2556

วิธีการเสริมจมูกที่ใช้ในปัจจุบัน

         หากพูดถึงแฟชั่นการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คงหนีไม่พ้นการเสริมจมูก ที่ช่วยเสริมความงาม สร้างมิติให้กับใบหน้า โดยการเสริมจมูกส่วนใหญ่นั้น มีอยู่ 2 วิธี คือการใช้ซิลิโคนในการเสริมจมูก และการฉีดเสริมจมูก ซึ่งก็มีขั้นตอนในการทำและผลที่ได้แตกต่างกัน

การใช้ซิลิโคนในการเสริมจมูก มี 2 วิธีคือ
  • การใช้ซิลิโคนที่ขึ้นรูปมาแล้ว ไม่ต้องนำมาเหลาใหม่ สามารถนำไปใช้ได้เลย แต่อาจมีข้อเสียคือ อาจมีรูปทรงที่ไม่เหมาะกับคนไข้บางคน เพราะรูปทรงอาจจะดูแข็งไป และไม่เข้ากับรูปจมูกดั้งเดิมของคนไข้ 
  • การใช้ซิลิโคนที่เหลาขึ้นรูปเอง สำหรับแบบนี้อาจต้องดูว่ารูปทรงจมูกของคนไข้เป็นแบบไหน  ซึ่งเหมาะกับคนไทยเป็นอย่างมาก เพราะคนไทยไม่ได้มีรูปจมูกทรงเดียวกันหมด แต่มีข้อเสียคือต้องใช้ความชำนาญของแพทย์ในการเหลาเพื่อให้ได้รูปตามต้องการ แล้วสามารถทำพื้นที่ให้ซิลิโคนอยู่ได้อย่างเหมาะสม
การฉีดเสริมจมูกมี 2 วิธีเช่นกันคือ
  • ใช้คอลลาเจนหรือไฮยาลูรอนิกแอซิดในการฉีด สามารถทำได้เลย ไม่ต้องเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมาฉีด แต่สามารถอยู่ได้แค่ 4-6 เดือนก็จะสลายไป 
  • ใช้ไขมันตัวเองในการฉีด คือ ต้องดูดไขมันมาจากร่างกายของตนเอง แล้วฉีดเข้าไปบริเวณจมูก คล้ายกับการฉีดคอลลาเจนเพียงแต่ใช้ไขมันของตัวเองเท่านั้น แต่มีข้อเสียคือไขมันที่ฉีดเข้าไปจะไม่สามารถบอกได้ว่าจะอยู่ได้นานเท่าไร ในช่วง 6 เดือนแรกที่ฉีดนั้นบางคนอาจเหลือไขมันที่ฉีด 50% บางคนอาจจะเหลือแค่ 20% และบางคนอาจจะไม่เหลือเลยก็เป็นได้